tag:blogger.com,1999:blog-6489366211432262362024-02-20T11:44:18.179+07:00ความรู้ทั่วไปrattiya sopachaihttp://www.blogger.com/profile/17268724541617969916noreply@blogger.comBlogger8125tag:blogger.com,1999:blog-648936621143226236.post-18983616320870531412010-06-25T00:38:00.000+07:002010-06-25T00:39:55.970+07:00เพลงอกหัก<object width="425" height="344"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/UE90XJzOKws&hl=en_US&fs=1&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/UE90XJzOKws&hl=en_US&fs=1&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="425" height="344"></embed></object>rattiya sopachaihttp://www.blogger.com/profile/17268724541617969916noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-648936621143226236.post-77150532869036623352010-06-25T00:32:00.002+07:002010-06-25T00:37:43.731+07:00อกหัก<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEimvPIiMduf8yM6mDHGj58PTQNK9zqMHbyGZm3-TIrqsiEHjyiLJygfaXXeo8cTQGlm3uUXPUA1TURuVKlsK1p19XXILjxpqJrRmMTyYsuxBPJpV3JYEigXp5uH5pMdbFHdxV6KPdDBI931/s1600/bkh_001.jpg"><img style="MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 300px; FLOAT: right; HEIGHT: 300px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5486395522230438002" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEimvPIiMduf8yM6mDHGj58PTQNK9zqMHbyGZm3-TIrqsiEHjyiLJygfaXXeo8cTQGlm3uUXPUA1TURuVKlsK1p19XXILjxpqJrRmMTyYsuxBPJpV3JYEigXp5uH5pMdbFHdxV6KPdDBI931/s320/bkh_001.jpg" /></a><br /><div>คำว่า "<span style="color:#ff0000;">อกหัก"</span><span style="color:#66ff99;">...ใครที่รักใครไม่เป็นก็คงไม่รู้จักคำนี้.. และคำว่า "อกหัก"...ถ้าใครมีความรักที่สมหวัง ก็จะไม่รู้จัก คำ ๆ นี้เช่นกัน...<br /><br />ในเมื่อคนสองคนที่มีใจที่ตรงกัน ได้มารักกัน ได้เดินทางในเส้นทางเดียวกัน...<br /><br />ต่อมาระยะหนึ่ง...ความรักที่มีนั้น ไม่เหมือนเดิม ใจไม่ตรงกัน อาจเพราะว่า ใครคนใดคนหนึ่ง มีใจไม่เหมือนเดิม หรืออาจจะเป็นว่า ทั้งสองคนร่วมใจกันใจไม่ตรงกัน...เป็นการใจตรงกันครั้งสุดท้าย.. คนสองคนหมดรักกัน และจากกันไป เพื่อ "ไปเดินในเส้นทางใหม่"ที่ตนต้องการ..<br /><br /><br /><span style="color:#ff6600;">กรณีคนอกหัก<br /></span>เป็นประเภท...เราใจเหมือนเดิม แต่เขา เปลี่ยนไป เหมือนโลกทั้งโลก...ทะลายไป...<br />รู้สึกว่า ตัวเองไม่มีค่า คิดแต่ว่า " ฉันผิดอะไร? "<br />เขาทำไมจากไป ทำไม ทำไม และทำไม<br /><br />ณ เวลานั้น คนอกหัก จะกลายเป็นคนช่างคิดช่างตั้งคำถาม คิดอะไรรกหัวไปหมด..แต่ออกจะคิดแคบไปหน่อย คิดแต่เรื่องเขาคนนั้น...ด้วยคำถามว่า...ทำไม<br /><br />ตัวอย่างของคำถามจากคนอกหัก...ที่ต้องการคำตอบจากเขา (แต่เขาไม่อยู่ให้ตอบคำถาม)<br />1. ทำไมถึงเลิกกับเรา?<br />2. เธอมีใครใหม่หรือ?<br />3. เธอจะคิดถึงฉันไหม?<br />4. ทำไมเหงาอะไรอย่างนี้นะ...เธอล่ะ?<br />5. เธอทำอะไรอยู่นะ...?<br />ฯลฯ<br /><br />คิดโทษแต่ตัวเอง....<br /><br />ร้องไห้...ร้องไห้....และร้องไห้....เหมือนคนบ้า.....อยู่ดี ๆ ก็ร้องไห้.....<br />ทำตัวห่อเหี่ยว เสมือนหมดแรงเพราะทำงานตรากตรำ... สมองฝ่อไปชั่วขณะ....<br /><br />บางที สำหรับบางคน.....<br />ไม่รู้ว่าใช้สมองส่วนไหนคิด...เขาคิดทำร้ายตัวเอง บางคนถึงกับชีวิตก็มี<br />เพื่ออะไร?... พวกนี้ไม่รู้จักใช้สมองอันน้อยนิดที่ปลายนิ้วมือคิดเลย...(จริง ๆ)<br /><br />เสียใจกับความรักที่มันไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิมน่ะได้....แต่อย่าเสียใจนานนัก...<br /><br />เราเสียใจ...ร้องไห้....ทำร้ายตัวเอง จะมากน้อยเท่าไร<br />"เขาคนนั้นไม่มารับรู้อะไรด้วยหรอก"<br /><br /><br />ขณะที่คุณร้องไห้...เสียใจ คิดถึงแต่เขา นึกถึงแต่เขา...<br />คุณทำร้ายตัวเอง....เขาคนนั้น กำลังนึกถึงคนอื่น มีความสุขอยู่กับรักใหม่ของเขา<br />โดยที่เขาไม่ได้นึกถึง ไม่ได้คิดถึงคุณแม้แต่น้อยนิดเลย...<br /><br />ในเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว...คิดอะไรได้รึยัง?<br /><br /><br /><br />คิดซะ...เขาคนที่ทำเราร้องไห้ได้น่ะ ไม่ได้มีค่าอะไรเลย กับชีวิตที่มีค่าของเรา<br />อยู่มาได้อายุเท่านี้ ก่อนหน้านี้ไม่มีเขาเราก็ไม่ตาย ประสาอะไรกับตอนนี้<br />ณ วินาทีนี้ เราจะไม่มีเขาแล้ว จะเป็นอะไรไป...<br /><br />ชีวิตมีค่า เวลาที่มีอยู่ใช้ให้คุ้มกับคนที่เขาหวังดี รักเรา เถอะนะ...<br />รักตัวเองให้มากขึ้น...มองโลกให้กว้างกว่านี้ แล้วคุณจะเห็นอะไรดี ๆ มากมาย<br /><br />คนรอบ ๆ ข้างคุณ เพื่อน ๆ คุณ ก็ช่วยให้คุณหัวเราะได้แค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น....<br />มีแต่ตัวคุณเองเท่านั้นแหล่ะ...ที่จะช่วยให้ตัวคุณเองยิ้มและหัวเราะได้...<br /><br />หาอะไรทำเพื่อที่จะได้ไม่คิดฟุ้งซ่านกับเรื่องเลวร้ายอย่างนั้นซะ....<br />ถึงแม้มันจะเหมือนการหลอกตัวเอง หลอกคนอื่นว่าคุณทำใจได้ แต่ว่า มันก็ดีซะกว่า คุณไม่รักตัวเอง.... </span></div>rattiya sopachaihttp://www.blogger.com/profile/17268724541617969916noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-648936621143226236.post-24609504636275523712010-06-25T00:02:00.003+07:002010-06-25T00:16:11.278+07:00การตกแต่งห้องนอน<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgtam5tKRkzOPWOctT6Sy02DGWLVMNETi2VVQDeMkMdRRC-7o5D9BBbIZOON_y8GhdK1s9StHnZGmPTTO7kv2AbGLC06lUWLx6dbY43qlm8QB7bwyOjsbOaGiOEITkSzSWvIAsq60HzEnWW/s1600/8882489.jpg"><img style="MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 320px; FLOAT: right; HEIGHT: 240px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5486389298818999506" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgtam5tKRkzOPWOctT6Sy02DGWLVMNETi2VVQDeMkMdRRC-7o5D9BBbIZOON_y8GhdK1s9StHnZGmPTTO7kv2AbGLC06lUWLx6dbY43qlm8QB7bwyOjsbOaGiOEITkSzSWvIAsq60HzEnWW/s320/8882489.jpg" /></a><br /><div>“<span style="font-size:130%;"><span style="font-family:courier new;font-size:180%;color:#66ffff;">ห้องนอน</span>”</span> <span style="color:#ff99ff;">ถือว่าเป็นสถานที่ส่วนตัว การออกแบบตกแต่ง จึงสามารถ ทำให้มีลักษณะ เฉพาะตัว ที่เด่นชัดออกมาได้เต็มที่ และตามสไตล์ ที่ผู้อยู่ต้องการ ได้ด้วย เนื่องจากพื้นที่ในห้องนอนนั้น เป็นพื้นที่ส่วนตัว ที่พ้นจากสายตาคนอื่นๆ และยังเป็นห้องที่เหมาะที่สุด ในการสร้างสรรค์ ตามความประสงค์ ของผู้อยู่อย่างมาก<br /><br />บางคนอาจจะชอบห้องนอนที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแบบไทยๆ ที่สามารถจะใช้โต๊ะ ตั่ง<br />คันฉ่องหรือ กระจก มาตกแต่ง การวางที่นอนบนพื้นก็เป็นการเพิ่มบรรยากาศให้ห้องน่าอยู่มิใช่น้อย หรือบางคนอยากจะแต่งให้โมเดิร์นสุดก็ย่อมที่จะทำได้ เพราะห้องนอนเปรียบเสมือนโลกส่วนตัวของแต่ละบุคคลที่สามารถจะสร้างสรรค์สิ่งที่ต้องการได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องคำนึงถึงรสนิยมและประโยชน์การใช้สอยร่วมกับผู้อื่น เหมือนกับการตกแต่งในห้องอื่นๆ<br />การจัดแสงมีบทบาทอย่างมาก ในการตกแต่งห้อง ไม่ว่าจะเป็น ห้องแบบไหนก็ตาม ก่อนจะตัดสินใจ ว่าจะใช้แสงอย่างไรเราต้องคำนึงถึง บรรยากาศ ที่ต้องการนั้นก่อน ว่าต้องการบรรยากาศ ที่ต้องการนั้นก่อนว่า ต้องการบรรยากาศในห้องนอน แบบไหนถ้าต้องการห้องนอนที่เต็มไปด้วย บรรยากาศยามเช้า ที่กระปรี้กระเปร่า ก็ต้องเปิดหน้าต่าง ด้านที่แดดยามเช้า สามารถสาดส่องเข้ามาได้ แล้วปิดไว้ด้วยม่าน 2 ชั้นที่เป็นทั้งม่านทึบ และโปร่งแสง สามารถเปิดออกได้เพื่อปล่อยให้แสงยามเช้า สาดเข้ามาได้ แต่วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ตกแต่งภายใน ควรมีสีและพื้นผิว ที่ทนทานต่อแสงแดด แต่ถ้าต้องการ บรรยากาศที่โรแมนติก เหมือนอยู่ในยาม ค่ำคืนตลอดเวลา ก็ต้องปิดกั้นให้แสงธรรมชาติ เข้ามาในห้องได้น้อยที่สุด .<br /><br />บางคนชอบที่จะตกแต่งห้องนอนโดยการเน้น ที่จุดเด่นของห้องให้อยู่ที่เตียง ดังนั้นจึงมีการเลือกแบบ และตำแหน่งของเตียงเป็นพิเศษ เตียงมีด้วยกัน หลายลักษณะ เช่น เตียงที่มีสี่เสา เตียงเหล็กหล่อ แบบเก่า เตียงแบบโบราณ เตียงทองเหลืองเตียงไม้ และเตียงไม้แกะสลัก เป็นต้น การเพิ่มสีสันให้กับเตียง ด้วยการตกแต่ง โดยใช้ผ้าโทนสีนุ่มนวลละมุนตา มาทำเป็นหมอนอิง ผ้าคลุมเตียง และม่าน ซึ่งผ้าที่ใช้นั้น อาจจะมีลวดลายที่เหมือนกัน หรือจะเป็นลวดลาย ที่เข้ากันได้<br /><br />สำหรับผู้ที่ชอบความสง่างาม ภูมิฐาน ควรที่จะเลือกใช้เตียงสี่เสา และตกแต่งด้วยผ้าลายคลาสสิก จับจีบติดไว้บนหลังคาเตียง แล้วรวมปล่อยชายไว้ที่เสาทั้งสี่ห้วยเชือกถักเส้นใหญ่ ซึ่งควรให้มีลักษณะ ที่ไปกันได้ ม่านหน้าต่างโดยจับจีบติดครุยและพู่ จะเป็นการช่วยให้ห้องดูงดงามมากยิ่งขึ้น<br />นอกจากนั้นอุปกรณ์อย่างอื่นยังสามารถช่วย ให้การจัดห้องนอนดูสมบูรณ์ขึ้นได้ คือ พรมปูหน้าเตียง ภาพตั้งบนโต๊ะข้างเคียง โคมไฟซึ่งมีทั้งแบบตั้ง และแบบแขวนที่สามารถปรับแสงได้ เป็นต้น<br />แต่ถ้าใครไม่ต้องการตกแต่งโดยให้เตียงนอน สะดุดตา ก็สามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น การกั้นบริเวณ ที่วางเตียง โดยใช้เฟอร์นิเจอร์ หรือผนังเตี้ยๆ หรือจะเลือกใช้เตียงแบบเรียบๆ ที่มีขนาดเล็ก และสามารถพับเก็บได้ </span></div>rattiya sopachaihttp://www.blogger.com/profile/17268724541617969916noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-648936621143226236.post-10887657834397418692010-06-25T00:00:00.000+07:002010-06-25T00:01:38.539+07:00<object width="425" height="344"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/ouw36HbfrnY&hl=en_US&fs=1&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/ouw36HbfrnY&hl=en_US&fs=1&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="425" height="344"></embed></object>rattiya sopachaihttp://www.blogger.com/profile/17268724541617969916noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-648936621143226236.post-49230928485859510972010-06-24T23:49:00.004+07:002010-06-25T00:17:17.870+07:00วันครู<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEigiPSJv6Boev-jbibxxDDhTMDIEB25OHshN9WIUqo7ue1SZv-0fAvZEQTYjatEC_DhwWfM4TeRFUlGufiQABBatFmHQMFbgtvByBPqTdipTgn4I8SupWbT_WY2iEBAIPBu-In0BniBFpKP/s1600/Busi36413.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 320px; FLOAT: left; HEIGHT: 240px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5486385633712866930" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEigiPSJv6Boev-jbibxxDDhTMDIEB25OHshN9WIUqo7ue1SZv-0fAvZEQTYjatEC_DhwWfM4TeRFUlGufiQABBatFmHQMFbgtvByBPqTdipTgn4I8SupWbT_WY2iEBAIPBu-In0BniBFpKP/s320/Busi36413.jpg" /></a><br /><div><strong><span style="font-size:180%;color:#33ff33;">วันครูของประเทศไทย<br /></span></strong><span style="color:#33ccff;">วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภาเป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษาและวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ ควบคุม จรรยาและวินัยของครูรักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัว ได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู<br /><br />ด้วยเหตุนี้ในทุกปี คุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และชักถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัย สถานที่ ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคียาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา<br /><br />ปี พ.ศ. 2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า<br /><br />"ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณ เป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมี สักวันหนึ่งสำหรับให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพ สักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับ คนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละ ทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง"<br /><br />จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่นๆ ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึก ถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดี เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมากในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มีวันครูเพื่อเสนอ คณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริม ความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน<br /><br />การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้ ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ หนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างเป็นถาวรวัตถุ<br /><br />การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลา ในปัจจุบันได้จัดรูปแบบ การจัดงานวันครูจะมีกิจกรรม 3 ประเภทหลักดังนี้<br /><br />กิจกรรมทางศาสนา<br />พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์<br />กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น<br />นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลครูดีเด่นประจำปี มอบของที่ระลึกให้ครูอาวุโสนอกและในประจำการจรรยา </span></div>rattiya sopachaihttp://www.blogger.com/profile/17268724541617969916noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-648936621143226236.post-39407263449185170072010-06-24T23:43:00.005+07:002010-06-25T00:19:12.292+07:00อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj00Z_h7t5xACkGeRemxNQv8alonf4iskxgN1olECQBijeu_CS__ZK8wQ9wKWCx4xv5CBMK-Kt6u7X1DfV22mGSxvpkYwmpYM53ewPPHQ-6nqQGE5vs43PySYNOC962lgIyJ6h2jvv-VyTO/s1600/1195431137.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 320px; FLOAT: left; HEIGHT: 214px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5486383223732319266" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj00Z_h7t5xACkGeRemxNQv8alonf4iskxgN1olECQBijeu_CS__ZK8wQ9wKWCx4xv5CBMK-Kt6u7X1DfV22mGSxvpkYwmpYM53ewPPHQ-6nqQGE5vs43PySYNOC962lgIyJ6h2jvv-VyTO/s320/1195431137.jpg" /></a><br /><div><span style="font-size:180%;color:#ff6600;">อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน</span> <span style="color:#33cc00;">มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอหนองหญ้าปล้อง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี และอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีพื้นที่มากที่สุดในประเทศไทย มีสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์ เป็นป่าต้นน้ำของแม่น้ำเพชรบุรีและแม่น้ำปราณบุรี และมีลักษณะเด่นทางธรรมชาติที่สำคัญหลายแห่ง เช่น ทะเลสาบ น้ำตก ถ้ำ หน้าผาที่สวยงาม มีเนื้อที่ประมาณ 1,821,687.84 ไร่ หรือ 2,914.70 ตารางกิโลเมตร<br /><br />ความเป็นมา : เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จแปรพระราชฐานที่พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และเสด็จที่เขื่อนแก่งกระจาน ได้รับสั่งให้นายถนอม เปรมรัศมี อธิบดีกรมป่าไม้ เข้าเฝ้าเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2522 ได้มีกระแสพระราชดำรัสว่า “เรื่องป่าต้นน้ำ ลำธารของแม่น้ำเพชรบุรี ขอให้เจ้าหน้าที่ดูแลรักษาอย่าให้มีการลักลอบตัดไม้ ถางป่า ทำไร่ในป่าต้นน้ำของแม่น้ำเพชรบุรี เพราะจะทำให้เกิดความแห้งแล้ง แม้จะได้มีการให้สัมปทานป่าแปลงนี้ไปบ้างแล้ว ก็ขอให้ เจ้าหน้าที่ตรวจดูแลการทำไม้ อย่าให้เป็นการทำลายป่าเกิดขึ้น” จากพระราชดำรัสดังกล่าวประกอบกับนโยบายของรัฐบาลตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2522 ที่ให้รักษาป่าไว้โดยการประกาศให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ<br /><br />กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ได้มีคำสั่งที่ 452/2523 ลงวันที่ 6 มีนาคม 2523 ให้นายสามารถ ม่วงไหมทอง นักวิชาการป่าไม้ 4 ไปดำเนินการสำรวจหาข้อมูลเบื้องต้นบริเวณพื้นที่ป่าต้นน้ำลำธารแม่น้ำเพชรบุรีเหนือเขื่อนแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ตามหนังสือรายงานการสำรวจ ด่วนที่สุด ที่ กส 0708/จช. 67 ลงวันที่ 15 เมษายน 2523 รายงานว่า บริเวณป่าดังกล่าวเป็นป่าต้นน้ำลำธารของแม่น้ำเพชรบุรีและแม่น้ำปราณบุรี เป็นภูเขาสลับซับซ้อน สภาพป่าสมบูรณ์ มีทิวทัศน์สวยงาม ประกอบด้วยน้ำตก ถ้ำ หน้าผา ทะเลสาบ พันธุ์ไม้มีค่านานาชนิด เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าต่างๆ เช่น เลียงผา วัวแดง กระทิง นก ปลาต่างๆ และช้างป่า ซึ่งเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง เหมาะสมที่จะจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ เพื่อเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจและศึกษาความรู้ด้านต่างๆ ทั้งเป็นการรักษาสภาพป่าให้คงอยู่เป็นสมบัติของชาติถาวรสืบไปดังพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br /><br />กรมป่าไม้จึงได้เสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ซึ่งได้มีมติการประชุมครั้งที่ 2/2523 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2523 เห็นสมควรให้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดที่ดินบริเวณพื้นที่ป่ายางน้ำกลัดเหนือ และป่ายางน้ำกลัดใต้ในท้องที่ตำบลน้ำกลัดเหนือ กิ่งอำเภอหนองหญ้าปล้อง อำเภอเขาย้อย และตำบลสองพี่น้อง ตำบลแก่งกระจาน อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ครอบคลุมเนื้อที่ 1,548,750 ไร่ หรือ 2,478 ตารางกิโลเมตร ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ โดยประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 98 ตอนที่ 92 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2524 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 28 ของประเทศ<br /><br />ต่อมาคณะอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ของอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้มีหนังสือลงวันที่ 17 ตุลาคม 2525 ถึงนายชวน หลีกภัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอให้อนุรักษ์ป่าห้วยแร่ห้วยไคร้ ตำบลหนองพลับ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ด้วย กรมป่าไม้ จึงให้ นายสามารถ ม่วงไหมทอง ทำหน้าที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และนายรุ่งโรจน์ อังกุรทิพากร เจ้าพนักงานป่าไม้ 2 สำรวจหาข้อมูลเบื้องต้น ปรากฏว่า ในบริเวณดังกล่าวมีสภาพป่าสมบูรณ์ดี มีทิวทัศน์สวยงาม มีธรรมชาติที่สวยงาม เช่น น้ำตก ถ้ำ หน้าผา ลานหิน และมีสัตว์ป่านานาชนิดอาศัยอยู่ โดยมีอาณาเขตติดต่อกับเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ตามหนังสือรายงานผลการสำรวจ ที่ กส 0713(กจ) /78 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2526 เห็นควรให้ขยายเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานออกไปครอบคลุมพื้นที่ดังกล่าว<br /><br />กรมป่าไม้จึงได้เสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ต่อมาได้มีมติการประชุมครั้งที่ 1/2527 เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2527 ให้ขยายเขตอุทยานแห่งชาติให้ครอบคลุมพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งได้มีพระราชกฤษฎีกาขยายเขตอุทยานแห่งชาติป่ายางน้ำกลัดเหนือ และป่ายางน้ำกลัดใต้ ในท้องที่ตำบลแก่งกระจาน ตำบลสองพี่น้อง ตำบลกลัดหลวง อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี และตำบลหนองพลับ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ครอบคลุมเนื้อที่ 273,125 ไร่ หรือ 437.00 ตารางกิโลเมตร โดยประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 101 ตอนที่ 194 ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2527 รวมเนื้อที่ 1,821,875 ไร่ หรือ 2,915 ตารางกิโลเมตร<br /><br />ต่อมากองบัญชาการทหารสูงสุด และจังหวัดเพชรบุรี ได้ขอเพิกถอนพื้นที่เพื่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยแม่เพรียง เนื้อที่ 28 ไร่ 2 งาน และอ่างเก็บน้ำห้วยป่าแดง เนื้อที่ 158 ไร่ 2 งาน 64 ตารางวา ซึ่งได้มีพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่ายางน้ำกลัดเหนือ และป่ายางน้ำกลัดใต้ บางส่วนในท้องที่ตำบลห้วยแม่เพรียง และตำบลป่าเต็ง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ 187.16 ไร่ หรือ 0.30 ตารางกิโลเมตร โดยประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 115 ตอนที่ 64 ก ลงวันที่ 24 กันยายน 2541 ทำให้ในปัจจุบันอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานคงเหลือพื้นที่ 1,821,687.84 ไร่ หรือ 2,914.70 ตารางกิโลเมตร </span></div>rattiya sopachaihttp://www.blogger.com/profile/17268724541617969916noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-648936621143226236.post-81664385027409733682010-06-24T23:26:00.003+07:002010-06-25T00:19:57.582+07:00ทิวลิป<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEia6vuRmjcovYl_OMUohKFrPD1ZKxyiP5B_iBNjjqR7F8_ML9DilMf8usQmBsTr2D47WvK5FmpJUpNu0G1_iwGspS_3o78mT-6q748SvF5Lnw9xERrivBVBoAAtgb_w7Po8K1G6frpSFvnD/s1600/Tulip.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 213px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5486379162839244834" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEia6vuRmjcovYl_OMUohKFrPD1ZKxyiP5B_iBNjjqR7F8_ML9DilMf8usQmBsTr2D47WvK5FmpJUpNu0G1_iwGspS_3o78mT-6q748SvF5Lnw9xERrivBVBoAAtgb_w7Po8K1G6frpSFvnD/s320/Tulip.jpg" /></a><br /><div><span style="color:#ff99ff;">ที่มาของชื่อ<br />แม้ว่าทิวลิปจะเป็นดอกไม้ที่ทำให้นึกถึงฮอลแลนด์ แต่ทั้งดอกไม้และชื่อมีที่มาจากจักรวรรดิเปอร์เชีย ทิวลิปหรือ “lale” (จากเปอร์เชีย لاله, “lâleh”) เช่นเดียวกับที่เรียกกันในตุรกี เป็นดอกไม้ท้องถิ่นของตุรกี, อิหร่าน, อัฟกานิสถาน และบางส่วนของเอเชียกลาง แม้ว่าจะไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้นำทิวลิปเข้ามาทางตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปแต่ที่สำคัญคือตุรกีเป็นผู้ทำให้ทิวลิปมีชื่อเสียงที่นั่น เรื่องที่เป็นที่ยอมรับกันก็คือ Oghier Ghislain de Busbecqไปเป็นราชทูตของสมเด็จพระจักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในราชสำนักของสุลต่านสุลัยมานมหาราชแห่งจักรวรรดิออตโตมันในปี ค.ศ. 1554 Busbecq บรรยายในจดหมายถึงดอกไม้ต่างๆ ที่เห็นที่รวมทั้งนาร์ซิสซัส ดอกไฮยาซินธ์ และทิวลิปที่ดูเหมือนจะบานในฤดูหนาวที่ดูเหมือนผิดฤดู (ดู Busbecq, qtd. in Blunt, 7) ในวรรณคดีเปอร์เชียทั้งสมัยโบราณและสมัยใหม่ต่างก็ให้ความสนใจกับดอกไม้ชนิดนี้<br /><br />คำว่า “tulip” ที่ในภาษาอังกฤษสมัยแรกเขียนเป็น “tulipa” หรือ “tulipant” เข้ามาในภาษาอังกฤษจากฝรั่งเศสที่แผลงมาจากคำว่า “tulipe” และจากคำโบราณว่า “tulipan” หรือจากภาษาลาตินสมัยใหม่ “tulīpa” ที่มาจากภาษาตุรกี “tülbend” หรือ “ผ้ามัสลิน” (ภาษาอังกฤษว่า “turban” (ผ้าโพกหัว) บันทึกเป็นครั้งแรกในภาษาอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และอาจจะมาจากภาษาตุรกีอีกคำหนึ่งว่า “tülbend” ก็เป็นได้) </span></div>rattiya sopachaihttp://www.blogger.com/profile/17268724541617969916noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-648936621143226236.post-7896136872998351842010-06-24T22:41:00.003+07:002010-06-25T00:24:35.472+07:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiIchnDHg7SSvty5tcpv8VDoAHh8orCIGKIBqbm7JySDQ04WTD1LjwWFUFahL-hQq1cyq3rOIc7XCqu5SH26EDAWIPnUH_4dkSmhwOcw9oc9pENXCLwLnFL4Ex3TC4uHUIpfUn092H_tGRK/s1600/imagesCA531YY4.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 276px; FLOAT: left; HEIGHT: 183px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5486366492533987938" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiIchnDHg7SSvty5tcpv8VDoAHh8orCIGKIBqbm7JySDQ04WTD1LjwWFUFahL-hQq1cyq3rOIc7XCqu5SH26EDAWIPnUH_4dkSmhwOcw9oc9pENXCLwLnFL4Ex3TC4uHUIpfUn092H_tGRK/s320/imagesCA531YY4.jpg" /></a><br /><div><span style="font-size:180%;color:#66ffff;">ตัวอย่างอาหารอีสาน</span><br /><span style="color:#ff9900;">1. “ส้มตำ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง ของกินชนิดหนึ่ง เอาผลไม้มีมะละกอเป็นต้น มาตำผสมกับเครื่องปรุงมีรสเปรี้ยว บางท้องถิ่นเรียก “ตำส้ม”<br /><br />“ส้มตำ” เป็นอาหารยอดนิยมของคนไทย(อาจจะรวบถึงชาวต่าศอีกมากมาย ที่รู้จักประเทศไทยจากส้มตำ)ในทุกๆภาคในปัจุบันโดยเฉพาะคนอีสานพบได้ทุกสถานที่ โดยเฉพาะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น ทะเล ภูเขา น้ำตก ฯลฯ จะพบอาหารนี้ได้ทุกซอก ทุกมุม ซึ่งหารับประทานได้ง่ายตามสถานที่ทั่วไป แม้แต่ตามซอกซอย ตามภัตตาคารหรือตามห้างต่างๆ เรียกว่า ส้มตำเป็นอาหารจานโปรดของทุกคนเลยก็ได้ ทำเอาพ่อค้าแม่ขายอาชีพนี้รวยไปตามๆ กัน ส้มตำมีหลายประเภท ได้แก่ ส้มตำไทย, ส้มตำไทยใส่ปู, ส้มตำปูใส่ปลาร้า, ส้มตำลาวใส่มะกอก ส้มตำมักรับประทานกับข้าวเหนียว และแกล้มกับผักชนิดต่างๆ และที่ขาดไม่ค่อยได้เลยคือไก่ย่าง ซึ่งจะพบว่าร้านส้มตำเกือบทุกร้านจะต้องขายไก่ย่างควบคู่กันไปด้วย<br /><br />“ส้มตำ” เป็นภาษากลางที่ใช้เรียกกันทั่วไป ชาวอีสานเรียก ตำบักหุ่ง หรือตำส้ม ส้มตำของชาวอีสานมีความหลากหลายมาก พืชผัก ผลไม้ ชนิดต่างๆ ก็สามารถนำมาตำรับประทานได้ทั้งสิ้น เช่น ตำมะละกอ ตำถั่วฝักยาว ตำกล้วยดิบ ตำหัวปลี ตำมะยม ตำลูกยอ ตำแตง ตำสับปะรด ตำมะขาม ตำมะม่วง เป็นต้น ซึ่งจะมีรสชาติที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเภท แต่โดยรวมๆแล้วจะเน้นที่ความมีรสจัดจ้านถึงใจและเน้นที่ความเปรี้ยวนำ<br /><br />ล้มตำลาว ของชาวอีสานบางครั้งจะใส่ผลมะกอกพื้นบ้าน(เฉพาะฤดูที่มีผลมะกอกพื้นบ้าน) เข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติ โดยฝานเป็นชิ้นรวมกับส้มตำมะละกอ ช่วยให้รสชาติอร่อยขึ้น ส้มตำลาวเป็นเมนูอาหารหลักของชาวอีสานรองจากข้าวเหนียว สามารถรับประทานกันได้ทุกวันและทุกมื้อ วัฒนธรรมการกินอาหารอย่างหนึ่งของชาวอีสาน คือ หากมื้อใดมีการทำส้มตำรับประทานก็มักจะเรียกเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงมาร่วมสังสรรค์ รับประทานส้มตำด้วย บางคนถึงกับบอกว่า ทานคนเดียวไม่อร่อย ต้องทานหลายๆ คน หรือแย่งกันทาน เรียกว่าส้มตำรวยเพื่อนก็ไม่ผิดนัก และตามงานบุญต่างๆของชาวอีสานจะขาดส้มตำไม่ได้เลย ถ้าขาดส้มตำอาจจะทำให้งานนั้นกร่อยเลยทีเดียว<br /><br />บางคนครั้งส้มตำลาวจะอร่อยหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับปลาร้าเป็นสำคัญ ถ้าหากปลาร้าอร่อยมีรสชาติดี ก็จะทำให้ส้มตำลาวครกนั้นมีรสชาติอร่อยไปด้วย ปลาร้าที่ใส่ส้มตำสามารถใส่ได้ทั้งน้ำและตัวปลาร้า หรือบางคนก็ใส่แต่น้ำปลาร้า ใส่เพื่อพอให้มีกลิ่นแล้วแต่คนชอบแต่ต้องทำให้สุกเสียก่อน ชาวอีสานส่วนใหญ่ยังมีความคิดว่ากินปลาร้าดิบแซ่บกว่าปลาร้าสุก ดังนั้นชาวบ้านตามชนบทมักจะใช้ปลาร้าดิบเป็นส่วนประกอบในส้มตำ ด้วยความคิดเช่นนี้จึงทำให้กลายคนดินปลาร้าแล้วได้พยาธิ(ส่วนใหญ่จะเป็นพยาธิใบไม้ในตับ) ิแถมเข้ามาอยู่ในตัวด้วย ถึงแม้ว่าการใช้เกลือประมาณร้อยละ 30 ของน้ำหมักปลาในการหมัก ก็เป็นเพียงการช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้เท่านั้น แต่ยังไม่มีคำยืนยันจากนักวิชาการว่าเกลือสามารถฆ่าพยาธิได้ ดังนั้นควรใช้ปลาร้าที่ต้มสุกแล้วจะปลอดภัยกว่า<br /><br />นอกจากนี้จากผลการวิจัยขอคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ยังพบว่าในปลาร้าดิบมีสารที่ยับยั้งการทำงานของวิตามินบีหนึ่ง ซึ่งการที่จะทำให้สารชนิดนี้หมดไปได้มีวิธีเดียวเท่านั้น คือ การทำให้สุกโดยใช้ความร้อน<br /><br /><br /></span><br /><span style="font-family:lucida grande;font-size:130%;color:#ff0000;">เครื่องปรุง</span><br /><br /><br /><span style="color:#66ff99;">มะละกอสับตามยาว<br />1 ถ้วย (100 กรัม)<br /><br /><br />มะเขือเทศสีดา<br />3 ลูก (30 กรัม)<br /><br /><br />มะกอกสุก<br />1 ลูก (5 กรัม)<br /><br /><br />พริกชี้หนูสด<br />10 เม็ด (15 กรัม)<br /><br /><br />กระเทียม<br />10 กลีบ (30 กรัม)<br /><br /><br />น้ำมะนาว<br />1-2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)<br /><br /><br />น้ำปลา<br />½ ช้อนโต๊ะ (8 กรัม)<br /><br /><br />น้ำปลาร้าต้มสุก<br />1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)<br /><br /><br />ผักสด ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี ยอดปักบุ้ง ยอดและฝักกระถิน ยอดมะยม ไก่ย่าง แคบหมู<br /><br /></span><br /><br /><br /><br /><span style="font-size:180%;color:#3333ff;">วิธีทำ</span><br /><br /><span style="color:#cc66cc;">1. โขลกกระเทียม พริกขี้หนู พอแตก<br />2. ใส่มะละกอ มะเขือเทศผ่าซีก ฝานมะกอกเป็นชิ้นบางใส่ลงโขลกเข้าด้วยกัน<br />3. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำปลาร้า น้ำมะนาว โขลกเบาๆ พอเข้ากันชิมตามชอบ รับประทานกับผักสด<br /><br />สรรพคุณทางยา<br /><br />1. มะละกอ ผลดิบ ต้มกินเป็นบาบำรุงน้ำนม ขับพยาธิ แก้บิด แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ริดสีดวงทวาร ช่วยย่อยอาหาร ขับน้ำดี น้ำเหลือง<br />2. มะเขือเทศ รสเปรี้ยว เป็นผักที่ใช้แต่งสีและกลิ่นอาหาร ช่วยระบาย บำรุงผิว<br />3. มะกอก รสเปรี้ยว ฝาด หวาน แก้โรคธาตุพิการเพราะน้ำดีไม่ปกติ แก้บิด แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน ผลสุกทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำ<br />4. พริกขี้หนู รสเผ็ดร้อน ช่วยเจริญอาหาร ขับลม ช่วยย่อย<br />5. กระเทียม รสเผ็ดร้อน ขับลมในลำไส้ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยย่อยอาหาร แก้โรคผิวหนัง น้ำมันกระเทียมมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อรา แบคทีเรียและไวรัส ลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในหลอดเลือด<br />6. มะนาว เปลือกผลรสขม ช่วยขับลมน้ำในลูกรสเปรี้ยว แก้เสมหะ แก้ไอ แก้เลือดออกตามไรฟัน ฟอกโลหิต<br />7. ผักแกล้มต่างๆ ได้แก่<br />- ถั่วฝักยาว รสมันหวาน ช่วยกระตุ้นการทำงานของกะเพาะลำไส้ บำรุงธาตุดิน<br />- กะหล่ำปลี รสจืดเย็น กระตุ้นการทำงานของกระเพาะลำไส้ บำรุงธาตุไฟ<br />- ผักบุ้ง รสจืดเย็น ต้มกินใช้เป็นยาระบาย ทำให้อาเจียน เนื่องจากพิษของฝิ่นและสารหนู<br />- กระถิน รสมัน แก้ท้องร่วง สมานแผล ห้ามเลือด ถ่ายพยาธิ<br />- มะยม ใบต้มกิน เป็นยาแก้ไอ ช่วยดับพิษไข้ บำรุงประสาท ขับเสมหะ บำรุงอาหาร แก้พิษอีสุกอีใส โรคหัดเลือด<br /></span><br /><br /><br /><span style="font-size:180%;color:#ff6600;">รสและสรรพคุณ</span> </div><div><br /><span style="color:#33ffff;">1. มะละกอดิบ (ผลยาว) มีรสหวาน ปลูกได้ทั่วไปในทุกภาค ออกผลตลอดปี ในทางยา<br />- ต้นมะละกอ สรรพคุณ แก้มุตกิต ขับระดูขาว<br />- ดอกมะละกอ สรรพคุณ ขับประจำเดือน ลดไข้<br />- ราก รสขมเอียน สรรพคุณ ขับปัสสาวะ<br />- เม็ดอ่อน สรรพคุณแก้กลากเกลื้อน<br />- ยางมะละกอ สรรพคุณช่วยกัดแผลรักษาตาปลาและหูด ฆ่าพยาธิหลายชนอด ในการทำอาหาร ยอดอ่อนนำมาดองและรับประทานเป็นผักได้ ส่วนผลดิบปรุงเป็นอาหารหลายชนิด ผลมะละกอดิบหั่นเป็นชิ้น นึ่งหรือต้มให้สุกและรับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริกหรืออาจปรุงเป็นผัดมะละกอ โดยนำผลห่ามหั่นฝอยเป็นชิ้นยาวๆ ผัดกับไข่และหมูได้ นอกจากนี้เนื้อมะละกอยังนำมาปรุงเป็นแกงส้ม แกงอ่อมได้<br />2. มะกอก เมื่อรับประทานทีแรกมีรสเปรี้ยวอมฝาด แต่เมื่อถึงคอแล้วหวานชุ่มคอ อุดมด้วยวิตามินซีใช้เป็นยาฝาดสมาน และแก้โรคลักปิดลักเปิด เปลือกมีกลิ่นหอม ฝาดสมานและเป็นยาเย็นใช้แก้อาการท้องเสีย และโรคที่เกี่ยวกับลำไส้ ระงับอาเจียน ยอดอ่อน ใบอ่อนและผลสุกใช้รับประทานเป็นผัก ยอดอ่อนและใบอ่อนออกมากในฤดูฝนและออกเรื่อยๆ ตลอดปี ส่วนผลเริ่มออกในฤดูหนาว ผลสุกรสเปรี้ยว เย็น ฝาด ทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำ แก้เลือดออกตามไรฟัน<br />ในด้านการนำมาทำอาหาร คนไทยทุกภาครู้จักและรับประทานยอดมะกอกเป็นผักสด ในภาคกลางรับประทานยอดอ่อน ใบอ่อน ร่วมกับน้ำพริกปลาร้า เต้าเจี้ยวหลน ชาวอีสารรับประทานร่วมกับลาบก้อย แจ่วป่น และฝานผลเป็นชิ้นรวมกับส้มตำมะละกอหรือพล่ากุ้งช่วยให้รสชาติอร่อยขึ้น<br /><br /><br /><br /></span><span style="color:#ffff00;">รสชาติอาหาร<br /></span><br /><span style="color:#009900;">ส้มตำ 1ครก จะมีหลายรสชาติ เช่น เปรี้ยว มัน เค็ม หวาน (น้ำตาลแล้วแต่คนชอบ) ขม เปลือกมะนาวหรือผลมะกอก) อุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุที่ให้คุณค่าแก่ร่างกายสูง โดยเฉพาะเมื่อนำมาแกล้มกินกับผัก คนอีสานนิยมรับประทานกับเส้นขนมจีน ว่ากันว่ารับประทานเข้ากันดีนัก สำหรับคนภาคกลางมักจะรับประทานร่วมกับอาหารอื่นๆ เช่น ส้มตำ-ไก่ย่าง, ลาบ, น้ำตก, ข้าวเหนียว เรียกว่าเป็นเมนูชุดใหญ่ โดยมีส้มตำเป็นอาหารหลักเลยทีเดียว ซึ่งก็จะช่วยให้เราได้สารอาหารประเภทโปรตีนจากเนื้อสัตว์เพิ่มไปด้วย นอกเหนือจากการกินแต่ผักอย่างเดียว<br /></span><br /><br /><br /><span style="font-size:180%;color:#cc33cc;">คุณค่าทางโภชนาการ</span> </div><div><br /><span style="color:#ff6666;">ส้มตำลาวใส่มะละกอ 1 ชุด ให้พลังงานต่อร่างกาย 205 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย<br />- น้ำ 417.77 กรัม<br />- โปรตีน 17 กรัม<br />- ไขมัน 2.856 กรัม<br />- คาร์โบไฮเดรต 29 กรัม<br />- กาก 5.75 กรัม<br />- ใยอาหาร 2.67 กรัม<br />- แคลเซียม 163.4 มิลลิกรัม<br />- ฟอสฟอรัส 190.36 มิลลิกรัม<br />- เหล็ก 24.27 มิลลิกรัม<br />- เบต้าแคโรทีน 473.9 ไมโครกรัม<br />- วิตามินเอ 12243 IU<br />- วิตามินบีหนึ่ง 0.552 มิลลิกรัม<br />- วิตามินบีสอง 0.5 มิลลิกรัม<br />- ไนอาซิน 5.545 มิลลิกรัม<br />- วิตามินซี 162 มิลลิกรัม<br /></span><br /></div>rattiya sopachaihttp://www.blogger.com/profile/17268724541617969916noreply@blogger.com0